บทความนี้ชวนมาสำรวจการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต โดยวิเคราะห์กรอบความคิดที่จำกัดศักยภาพของบุคคล กรอบความคิดที่เชื่อว่า “ผู้อื่นเป็นผู้กระทำ” “เราถูกกระทำ” “เราไม่มีทางเลือก” หรือ “เราไม่มีอำนาจ” ที่กรอบความคิดแบบนี้มักนำไปสู่การมองเห็นเพียงข้อเสียและความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง มองข้ามโอกาสหรือข้อดีที่ซ่อนอยู่ บุคคลที่ติดอยู่ในกรอบคิดเช่นนี้มักตกเป็น “เหยื่อ” (Victim) ของสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ กรอบความคิดแบบเหยื่อนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? คำตอบของผู้ที่ติดอยู่ในสภาวะดังกล่าว มักจะเป็นการปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผลที่ว่า “ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว” อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงคือ การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้ แต่บุคคลอาจยังคงยึดติดอยู่กับสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย (Comfort Zone) ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงมากกว่าความไม่สามารถในการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด
การประเมินความเจ็บปวดที่เกิดจากการไม่เปลี่ยนแปลงกรอบความคิดที่มีอยู่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะกรอบความคิดแบบเหยื่อนำไปสู่การสร้างกับดักชีวิตที่ทำให้ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำๆ และสูญเสียโอกาสที่อาจไม่สามารถย้อนกลับมาได้ การประเมินนี้ควรรวมถึงการพิจารณาว่าความเจ็บปวดจะคงอยู่ได้นานเพียงใด และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคตหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่ปฏิเสธการนำเสนอความคิดเห็นด้วยความเชื่อว่า “เจ้านายรับฟังผู้อื่นมากกว่า” หรือ “ตนเองไร้ค่า” อาจส่งผลให้ขาดแรงจูงใจในการทำงาน เกิดความหดหู่ ขาดความเชื่อมั่น และในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือการทำร้ายตนเองได้ หรือในอีกกรณีหนึ่ง คือ ผู้ที่ยึดติดกับความเชื่อว่า “ตนเองรู้ดีอยู่แล้ว” (ภาวะน้ำเต็มแก้ว) และเชื่อว่าสิ่งที่เคยทำมานั้นถูกต้องที่สุด อาจทำให้ขาดการรับรู้มุมมองจากผู้อื่น ชี้นำกลุ่มมากเกินไป จนสร้างความอึดอัดให้แก่สมาชิก และอาจส่งผลให้ถูกกีดกันทางสังคมในที่สุด
ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
เมื่อได้เห็นระดับความเจ็บปวดที่เกิดจากการไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเปรียบเทียบความเจ็บปวดดังกล่าวกับการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดในช่วงแรก แต่หากมีความพร้อมและมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า ความเจ็บปวดนั้นก็จะลดลงและหายไปในที่สุด แท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งสองทางล้วนมาพร้อมกับ “ต้นทุนชีวิต” ที่เป็นความเจ็บปวด สิ่งสำคัญคือการเลือกที่จะเผชิญความเจ็บปวดในวันนี้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคต แทนที่จะแบกรับความเจ็บปวดนั้นไปตลอด การตัดสินใจว่า “จะเปลี่ยนแปลงเมื่อใด” จึงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนผ่านสู่กรอบความคิดของผู้ชนะ (Victor)
กรอบความคิดใหม่ที่ควรนำมาปรับใช้คือ “กรอบความคิดของผู้ชนะ“ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างพลังความรับผิดชอบในตนเอง เพื่อให้สามารถดูแลตนเองและผู้ที่รักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการเชื่อมั่นว่าชีวิตมีทางเลือกที่ดีกว่าหรือเจ็บปวดน้อยกว่าเสมอ ไม่ควรรอคอยโอกาส เพราะเวลาในชีวิตนั้นมีจำกัดและไม่สามารถย้อนกลับได้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด แต่เราสามารถเลือกว่าจะเข้าไปรับผิดชอบในบางเรื่องได้ บางเรื่องที่ไม่อยู่ในการควบคุมของเราเป็นแรงโน้มถ่วงของโลก ก็ควรปล่อยให้ผ่านไป เพราะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า บางเรื่องที่ควบคุมไม่ได้แต่สามารถให้ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไปได้ หรือบางเรื่องที่เราสามารถควบคุมได้ โดยการเลือกที่จะโน้มน้าวให้ผู้อื่นเชื่อมั่น ไม่ว่าจะด้วยอำนาจ ความรู้ หรือภาพลักษณ์ก็ตาม
ดังนั้นกรอบความคิดของผู้ชนะคือการพยายามค้นหาว่า “เราสามารถทำอะไรเพิ่มเติมจากที่เคยทำได้บ้าง เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น” หากเลือกที่จะเป็นผู้ชนะ ก็ถึงเวลาที่จะตื่นตัว ให้พลังแก่ตนเอง ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงทันที และทุ่มเทพลังชีวิตและเวลาให้กับสิ่งที่เลือก ซึ่งอาจเป็นเพียง 20% ของเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ก็จะเป็น 20% ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ถึง 80% ไม่ควรเสียเวลาและพลังชีวิตไปกับเรื่องราว 80% ที่ให้ผลลัพธ์เพียง 20%
ดังวลีที่ว่า: “เราไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางลมซึ่งเปรียบเสมือนเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้ แต่เราสามารถปรับใบเรือที่เปรียบเสมือนความคิดและการกระทำของเราให้รับลมได้ เพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายของชีวิตที่ตั้งไว้“